Cats

ภาษาแมวไม่ยากอย่างที่คิด แค่เปิดใจเรียนรู้แล้วจะเข้าใจแมวมากขึ้นแน่นอน

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า แมวได้พัฒนาระบบการสื่อสารที่ละเอียดซับซ้อนด้วยการเปล่งเสียงที่มีมากหลายร้อยรูปแบบ เพื่อบอกมนุษย์ว่ามันอยากได้หรือต้องการอะไร

การพัฒนาความเข้าใจว่าแมวสื่อสารกับคุณอย่างไร แมวเข้าใจการสื่อสารของมนุษย์อย่างไร จะสามารถช่วยให้คุณพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนตัวน้อยของคุณให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นได้

1. เข้าใจภาษาของแมว

1.1 หางของแมว

แมวจะสื่อสารด้วยท่าทางและการเคลื่อนไหวของหาง การเข้าใจอากัปกิริยาท่าทางของหางร่วมกับการเปล่งเสียง จะสามารถช่วยให้คุณเข้าใจความต้องการและความอยากของแมวได้ ลักษณะท่าทางของหางโดยทั่วไปมีดังนี้:

  • หางตั้งตรงและขดเป็นวงตรงปลาย: บ่งบอกถึงความสุข
  • หางกระตุก: แมวรู้สึกตื่นเต้นหรือกระวนกระวาย
  • ขนตรงหางชี้ตรงหรือพองฟู: แมวรู้สึกตื่นตระหนกหรือรู้สึกถูกคุกคาม
  • หางสั่น: แมวรู้สึกตื่นเต้นมากและดีใจมากที่ได้เจอคุณ
  • ขนหางตั้งตรงขณะที่หางขดเป็นรูปตัว N: นี่เป็นสัญญาณของความก้าวร้าวรุนแรง และมักจะปรากฏให้เห็นระหว่างการต่อสู้ หรือระหว่างการป้องกันตัวเอง
  • ขนหางตั้งตรงแต่หางลดต่ำ: แมวรู้สึกหงุดหงิดหรือรู้สึกกลัว
  • หางลดต่ำและซุกอยู่ระหว่างขาหลัง: แมวรู้สึกกลัว

1.2 ตาของแมว

การมองตรงเข้าไปยังดวงตาของแมวจะสามารถช่วยให้คุณเชื่อมความรู้สึกกับมันและอ่านความรู้สึกของมันได้ แต่โปรดระวังไว้ การจ้องตรงๆ โดยไม่กระพริบตาเลยอาจจะถูกตีความได้ว่าเป็นท่าทางของการรุกราน ซึ่งจะทำให้แมวรู้สึกไม่สบายใจ

  • ถ้ารูม่านตาของแมวขยายกว้างขึ้น แสดงว่าแมวอาจจะรู้สึกมีความสุข ตื่นเต้น ค่อนข้างกลัว หรือหงุดหงิด; สังเกตพฤติกรรมอื่นร่วมด้วยเพื่อดูว่าแมวกำลังรู้สึกแบบไหน
  • การที่แมวจ้องกลับมาที่ดวงตาของคุณ เป็นการบ่งบอกว่ามันไว้ใจคุณและรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับคุณ
  • การที่แมวค่อยๆ กระพริบตาช้าๆ อาจจะเป็นการแสดงถึงความรักและบ่งบอกว่าแมวรู้สึกสบายใจกับใครก็ตามที่อยู่รอบๆ ตัวมัน

1.3 ภาษากายอื่นๆ

เพราะว่าแมวแสดงภาษากายได้ “ชัดเจน” กว่ามนุษย์ ท่าทางของมันจึงมักจะมาพร้อมกับการเปล่งเสียงเพื่อช่วยในการส่งข้อความ

  • แมวที่ยกจมูกขึ้นและเอียงหัวถอยกลับไปเล็กน้อยกำลังบอกว่า “ฉันรู้จักคุณ” แมวที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างอาจจะทักคุณด้วยท่าทางเช่นนี้เมื่อคุณเดินผ่าน
  • แมวอาจจะลู่หูลง หากมันรู้สึกกลัว วิตกกังวล หรือสนุก ท่าทางนี้อาจจะปรากฏให้เห็นเมื่อมันกำลังดมอะไรบางอย่างอย่างระมัดระวังด้วยความอยากรู้อยากเห็น
  • แมวที่แลบลิ้นออกมาเล็กน้อยและเลียริมฝีปากล่าง กำลังแสดงออกว่ามันรู้สึกวิตกกังวล หรือหวั่นเกรง

1.4 พฤติกรรมการสื่อสาร

การสื่อสารกับคุณสำหรับแมวบางตัวจะขึ้นอยู่กับว่ามันประพฤติตัวอย่างไรเมื่อมันอยู่กับคุณ พฤติกรรมบางอย่างจะสอดคล้องกับความหมายที่แมวส่วนมากต้องการจะสื่อ

  • การที่แมวเข้ามาถูตัวกับคุณ หมายความว่ามันกำลังทำเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของคุณอยู่
  • การ “จูบ”ด้วยจมูกเปียก เป็นท่าทางการแสดงความรักของแมว ซึ่งคือการที่แมวแตะจมูกที่เปียกชื้นกับตัวคุณ ท่าทางนี้บ่งบอกว่ามันชอบและรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับคุณ
  • การที่แมวถูหัว สีข้าง และหางกับคนหรือสัตว์ เป็นการแสดงถึงการทักทาย
  • การโหม่งหัวอย่างร่าเริง คือการแสดงออกถึงความเป็นมิตรและความรัก
  • แมวจะดมที่หน้าของคนเพื่อยืนยันตัวตนของคนคนนั้น โดยอิงจากความคุ้นชินของกลิ่น
  • แมวจะใช้อุ้งเท้านวดสลับกันทั้งเท้าขวาและเท้าซ้ายเป็นช่วงๆ เพื่อแสดงถึงความสุข ความพึงพอใจ หรือความเพลิดเพลิน การนวดเป็นการบ่งบอกว่าแมวรู้จักและไว้ใจคุณ
  • การที่แมวเลียคุณ คือการแสดงออกถึงความไว้ใจสูงสุด แมวอาจจะเห็นว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เหมือนกับตอนที่แม่แมวเลียทำความสะอาดให้ลูกตัวเอง
  • หากแมวพยายามจะกินผมของคุณ มันอาจจะกำลังพยายาม “ดูแล” คุณอยู่ ซึ่งหมายความว่าแมวรักคุณและไว้ใจคุณมาก
  • แมวบางตัวจะแสดงความรักโดยการเลียนแบบท่าทางของคุณ คุณสามารถทดสอบได้โดยการนอน “แกล้งตาย” บนพื้น แมวอาจจะเข้ามาดมและสะกิดคุณ ก่อนจะนอนแกล้งตายด้วย
  • ถ้าแมวกัดคุณเบาๆ หมายความว่านี่เป็นคำเตือนให้คุณปล่อยมันให้อยู่เพียงลำเพียง

2. การสื่อสารกับแมว

2.1 วิธีการพูดกับแมว

แมวจะเรียนรู้วิธีการสื่อสารกับเราอยู่เสมอ ยิ่งคุณสื่อสารกับแมวของคุณมากเท่าไร มันก็จะเรียนรู้ได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น

  • ใช้น้ำเสียงที่สูงเล็กน้อยเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นมิตร และใช้น้ำเสียงที่ต่ำเพื่อบ่งบอกถึงความไม่พอใจหรือความโกรธ
  • การพูดซ้ำๆ จะช่วยให้แมวเรียนรู้ที่จะคาดการณ์การกระทำที่สอดคล้องกันได้ คุณอาจจะพูดคำว่า นอน หรือ เตียง ซ้ำๆ ทุกครั้งที่คุณจะไปนอน ท้ายที่สุด แมวก็จะเริ่มรวมคำที่พูดซ้ำๆ กับการกระทำของคุณเข้าด้วยกัน และอาจจะเข้าไปในห้องนอนก่อนคุณเสียด้วยซ้ำ

2.2 ใช้การสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูด

แมวสามารถฝึกให้เข้าใจคำพูดได้ แต่มันก็จะเข้าใจสัญญาณต่างๆ ที่ไม่ใช่คำพูดได้โดยสัญชาตญาณเช่นกัน การสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นด้วยความคาดหวังและความประทับใจเล็กน้อย จะสามารถช่วยในการเริ่มต้นสานความสัมพันธ์กับแมวใหม่ให้แน่นแฟ้นได้

  • ถ้าคุณกระพริบตาช้าๆ เมื่อสบตากับแมวของคุณ มันก็มักจะตอบสนองด้วยการเข้ามาให้คุณลูบ การกระทำนี้เป็นท่าทางที่แสดงออกถึงความเป็นมิตรสูงและไร้ซึ่งความรู้สึกคุกคาม
  • พยายามอย่าจ้องตรงไปยังตาของแมว ท่าทางนี้เป็นการบอกมันว่าคุณรู้สึกไม่เป็นมิตรหรือโกรธ
  • ถ้าแมวต้องการจะไปที่ไหนสักแห่ง เช่น บนเก้าอี้ข้างๆ คุณ แต่มันทำท่าไม่มั่นใจ ให้คุณตบตรงที่ตรงนั้น และใช้เสียงที่นุ่มนวล อ่อนโยน เพื่อชวนให้มันขึ้นมานั่งกับคุณ
  • ทำให้ความตั้งใจของคุณกับการแสดงออกไปในทิศทางเดียวกัน เจ้าของสัตว์เลี้ยงหลายคนมักจะทำผิดพลาดด้วยการดุแมวว่า “ไม่” แต่ก็จะลูบหัวมันในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้แมวสับสนมาก ถ้าคุณต้องการจะไล่แมวออกไป การพูดว่า “ไว้ก่อน” และผลักมันเบาๆ โดยไม่แสดงท่าทีรักใคร่ จะทำให้แมวเข้าใจว่ามันไม่ควรจะอยู่ตรงนี้ในเวลานี้ แมวส่วนใหญ่จะพยายามเข้าใกล้อีกสองถึงสามครั้ง ซึ่งมักจะเข้ามาจากทิศทางที่ต่างจากเดิม โปรดใช้ความอดทนในการพูดว่า “ไว้ก่อน” เพื่อเตือนมันอีกครั้ง
  • ห้ามตะคอกหรือทำร้ายร่างกายแมว การกระทำเหล่านี้มีแต่ทำให้แมวหวาดกลัวและโกรธ ซึ่งจะเป็นการทำให้มันรู้สึกต่อต้าน คุณควรจะใช้น้ำเสียงที่แข็งในการพูดแทนการแสดงความไม่พอใจออกมา แมวจะเข้าใจและสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของคุณเอง

2.3 ออกคำสั่งแมวของคุณ

การทำให้น้ำเสียงเวลาพูดกับการกระทำอื่นๆ ไปในทิศทางเดียวกันระหว่างการฝึกออกคำสั่งแมว จะช่วยให้คุณทั้งคู่เข้าใจความคาดหวังและจุดประสงค์ของการฝึกนี้ได้อย่างชัดเจน

  • ใช้น้ำเสียงที่เป็นคำสั่งกับแมวของคุณเมื่อมันทำผิด ใช้น้ำเสียงที่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและสามารถใช้พูดซ้ำด้วยน้ำเสียงเดิมได้ง่าย แต่ก็ต้องเป็นน้ำเสียงที่ต่างไปจากเสียงที่คุณใช้พูดปกติในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน ถ้าคุณใช้น้ำเสียงนี้น้อยครั้ง แต่จริงจัง แมวจะรับรู้ได้ด้วยการรวมน้ำเสียงของคุณเข้ากับความคิดที่ว่ามันกำลังทำให้คุณรู้สึกไม่พอใจ
  • ออกเสียงอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงที่แสดงความฉุนเฉียวไม่พอใจเหมือนแมวร้องฟ่อ การออกคำสั่งว่า “ไม่” ด้วยเสียงแบบนี้จะใกล้เคียงกับเสียงร้องเตือนใน “ภาษาแมว” และสามารถใช้สื่อเจตนาของคุณให้กับแมวได้อย่างชัดเจน
  • ใช้ความอดทนในการฝึก แล้วแมวจะสามารถเชื่อฟังคำสั่งได้เช่นเดียวกับสุนัข คุณยังสามารถฝึกขอมือแมวของคุณได้อีกด้วย

3. การฟังแมวของคุณ

3.1 เข้าใจว่าแมวสื่อสารอย่างไรและทำไม

โดยปกติแล้ว การเปล่งเสียงร้องไม่ใช่การแสดงออกที่แมวมักจะชอบทำในการสื่อสาร “ภาษาแรก” ของแมวจะประกอบไปด้วย ระบบที่ซับซ้อนของกลิ่น การแสดงออกทางสีหน้า ภาษากายที่ซับซ้อน และการสัมผัส ในไม่ช้า แมวก็จะรู้ว่าเราไม่เข้าใจการแสดงออกที่ไม่เป็นคำพูดซึ่งพวกมันมักจะใช้ส่งถึงกันนี้ ดังนั้นมันจะเปล่งเสียงออกมาเพื่อพยายามสื่อสารด้วยภาษาของ “เรา” แมวจะเรียนรู้อยู่เสมอว่าจะแสดงถึงการขอร้องหรือความต้องการได้อย่างไร โดยสังเกตว่าเสียงร้องแบบไหนที่จะทำให้เราทำตามที่มันต้องการได้

3.2 สังเกตสิ่งที่อยู่รอบๆ เมื่อแมวร้อง

ถ้าคุณสังเกตว่าแมวของคุณกำลังทำอะไรอยู่เมื่อมันร้อง คุณอาจจะสามารถแยกแยะได้ว่า เสียงร้องแบบไหนสัมพันธ์กับความต้องการ (หรือการทักท้วง) ในเรื่องอะไร แม้ว่าเสียงร้องของแมวจะแตกต่างกันไปตามแมวแต่ละตัว แต่ก็มีเสียงร้องบางแบบที่มักจะสัมพันธ์กับอารมณ์ของแมวที่แน่นอน เช่น เสียงครางในลำคอ หรือเสียงขู่ฟ่อ

  • เสียงร้องสั้นๆ จะใช้ในการทักทายปกติและการตอบรับทั่วไป
  • การร้องหลายครั้งเป็นการแสดงการทักทายอย่างตื่นเต้น คุณอาจจะได้ยินเสียงทักทายที่กระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิมด้วยการร้องหลายครั้งมากขึ้น หากคุณกลับมาหลังจากออกไปข้างนอกนานกว่าปกติ
  • เสียงร้องระดับกลางจะบ่งบอกถึงการขออะไรสักอย่าง เช่น อาหาร หรือน้ำ
  • เสียงร้องลากยาวจะเป็นการตื้อเพื่อให้ได้ในสิ่งที่อยากได้ตามต้องการ
  • เสียงร้องต่ำจะบ่งบอกถึงความไม่พอใจ ความโกรธ หรือการเตรียมพร้อมที่จะสู้
  • เสียงร้องที่ดังและต่ำกว่าเสียงระดับกลางมักจะหมายถึงการขออะไรสักอย่างแบบเร่งด่วน เช่น อาหาร

3.3 สังเกตการสื่อสารอื่นๆ ที่ไม่ใช่เสียงร้องเหมียว

แม้ว่าเสียงร้องเหมียวเป็นเสียงที่เรามักจะได้ยินบ่อยสุดจากการเปล่งเสียงของแมว แต่แมวก็ยังส่งเสียงร้องแบบอื่นด้วยเช่นกัน

  • เสียงครางสั่นในลำคอเป็นการเชิญให้คุณสัมผัสอย่างใกล้ชิดและให้ความสนใจมัน แม้ว่าแมวจะสามารถร้องครางในลำคอได้จากหลายสาเหตุ แต่การร้องแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความพึงพอใจ
  • เสียงขู่ฟ่อเป็นสัญญาณของความก้าวร้าวหรือการป้องกันตัวเองที่ชัดเจนที่สุด. เสียงแบบนี้บ่งบอกว่าแมวของคุณกำลังไม่สบายใจอย่างมาก รู้สึกถูกคุกคาม หวาดกลัว กำลังต่อสู้ หรือเตรียมพร้อมที่จะสู้

3.4 สังเกตการเปล่งเสียงพิเศษอื่นๆ

แม้ว่าเสียงร้องแบบอื่นอาจจะไม่ค่อยได้ยินบ่อยเท่าเสียงร้องเหมียว เสียงขู่ฟ่อ และเสียงครางในลำคอ แต่การเข้าใจเสียงร้องเหล่านี้ก็จะสามารถช่วยให้คุณเข้าใจการเสื่อสารของแมวได้มากยิ่งขึ้น

  • เสียงร้องแหลมสูงมักจะบ่งบอกถึงความโกรธ ความเจ็บปวด หรือความรู้สึกหวาดผวา
  • เสียงร้องเจื้อยแจ้วสามารถบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก ความวิตกกังวล หรือความไม่พอใจ
  • เสียงร้องแหลมเล็กเหมือนเสียงร้องเหมียวผสมกับเสียงครางในลำคอด้วยระดับเสียงที่สูงขึ้น เป็นเสียงทักทายอย่างเป็นมิตร ซึ่งแม่แมวมักจะใช้บ่อยเพื่อใช้เรียกลูกของตัวเอง
  • เสียงร้องโหยหวนอาจบ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างกะทันหัน เช่นตอนที่คุณเหยียบหางแมวโดยไม่ได้ตั้งใจ

หวังว่าคงได้สาระข้อมูลกันไปเต็มๆเลย ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเลี้ยงแมวนะครับ ^^

ที่มา : Wikihow