เรื่องราวของคุณแม่สายสตรองที่การเลี้ยงลูกสาวกับแมวดำอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะมีใครหลายคนบอกว่าเลี้ยงลูกกับแมวแล้วทำให้ลูกเกิดภูมิแพ้บ้าง หอบหืดบ้าง การเลี้ยงลูกอาจจะยากแต่ว่าการเลี้ยงกับแมวอาจจะทำให้ลูกของคุณมีเพื่อนและมีความเมตตากับสัตว์ตั้งแต่เด็กๆ ลองอ่านเรื่องราคาภาค 2 ของเธอได้เลย
ขอแชร์ประสบการ์ณเลี้ยงลูกกับแมว แมวดำ part2 ขอบคุณทุกคน ที่เอ็นดูพี่ก๊วย (เจ๊ชาร์โคล) กับน้องหมั่นโถว มีคนทักมาถามเราว่ามันยากยังไง ทำไมถึงแพงนักแค่พาแมวกลับเชียงใหม่ และเลี้ยงลูกกับแมวเลี้ยงยังไง เอาอันแรกก่อนนะคะ ว่ายากยังไง
คือเราได้บอกแล้วว่าเราเจอนางตอนนางเล็กมาก นางเกิด 12 ส.ค. 60 แล้วมันเสี่ยงมากที่จะพาแมวน้อยๆเดินทางไกล แล้วเราไม่มีรถยนต์จ้า เดินทางโดยรถทัวร์ตลอด พอติดที่ต้องเอานางกลับให้ได้ เราก็ต้องทนอยู่ที่ระยองคนเดียว นั่งรถไปฝากครรภ์คนเดียว อารมณ์แบบเหมือนท้องไม่มีพ่อ ไป รพ. คนเดียว (เพราะแฟนกลับมาทำงานที่เชียงใหม่ก่อน) เพื่อรอเวลาให้นางอายุครบ 4 เดือน เพื่อตรวจสุขภาพ ก่อนเดินทาง เราก็ไม่เคยขนสัตว์ข้ามจังหวัด ข้ามภาคแบบนี้ เราก็เสิรซเลยจ้า พี่พันทิป
ก็ได้มามีแค่ 2 ทาง รถไฟ กับ เครื่องบิน (คือถ้าเหมารถ เรากินเกลือแน่ๆ 555) ตอนแรกก็พยายาม save ค่าใช้จ่าย (ฝันไว้ว่าอยากให้ลูกคลอด รพ.เอกชน จ้า) ว่าจะเลือกทางรถไฟ แต่รถไฟถ้ามีสัตว์เดินทางด้วย เดินทางได้แค่แบบพัดลมเท่านั้นนะคะ** (มีสาระนิดนึง) ละคือเราท้องแก่ เดินทางรถไฟคงได้คลอดกลางทาง แน่ๆ (ลงข่าวหน้า1 แหงๆ แท้นนน) ละเจ๊ก๊วยนางขี้กลัวมากกก
เลยเหลือทางเดียวคือเครื่องบิน เป็นการเซฟพี่ก๊วยที่สุดเพราะเดินทางแค่ 1 ชม.(เพราะงี้ถึงต้องอยู่กับนางที่ระยองต่อเพื่อรอนางโตพอ) กลายเป็นเราเองที่ต้องเซ็นเอกสารว่าถ้าหากเกิดปัญหาระหว่างทาง หรือทำให้การเดินทางล่าช้าเสียเวลา เราต้องชดใช้ด้วยเงินจ้า เซ็นชื่อมือสั่นเลย (บอกหมั่นโถวว่า อย่าเพิ่งออกนะลูก แม่ไม่รีบ ) และแล้วก็ถึงอย่างปลอดภัย
และเรายอมเลือกที่จะอยู่กันเอง 4 คนพ่อแม่ลูก ยอมประหยัดเงินหน่อยเพื่อพอจ่ายค่าเช่าหอ (สมัยมาแรกๆต้องเช่าหอเขาอยู่เลยจ้า แต่ยังบ้าหอบแมวมา 55555) เพื่อตัดปัญหาการอยู่ครอบครัวใหญ่ที่เขาไม่ได้ชอบแมว (ก็อย่างว่านะคะ คนเยอะเรื่องเยอะ เรารักเขา แต่เขาก็ไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน)
ส่วนการเลี้ยงลูกนะคะ ก็ง่ายๆเลยค่ะ แค่เราคิดว่าเขาเป็นลูกเราจริงๆ ก็เหมือนคุณมีลูก 2 คน เขาเล่นกันก็ต้องอยุ่ในสายตาเพราะมันต้องมีทะเลาะเบาะแว้งตามประสาพี่น้อง มีเล่นกันเพลินแล้วหมั่นเขี้ยวเล่นแรงกัน ก็ดุทั้งคู่ค่ะ ไม่โอ๋ใครทั้งสิ้นถ้าเล่นแล้วทะเลาะกัน แต่ถ้าซนแล้วทำของเสียหาย โดนตีทั้งคู่ค่ะ(ตีไม่แรงนะจ้ะ แค่ให้พวกเขารู้ว่าที่ทำมันผิด)
เราจะสอนลูกว่าเวลาเขาคลานเล่นกันแล้วล้ม คือเขาไม่ระวังเอง เราจะไม่ตีพื้น ตีพี่ก๊วยที่ทำน้องล้มค่ะ (บางคนอาจสงสัยว่าทำไม แค่ตีพื้นที่ทำให้น้องล้ม นั่นเป็นการปลูกฝังที่ไม่ดีค่ะเด็กจะไม่รู้จักโทษตัวเอง ไม่รู้ความผิดของตัวเองเวลาทำผิดค่ะ)
สุดท้ายเราก็อยากบอกซ้ำว่า ถ้าใครที่เลี้ยงหมาแมวอยู่แล้วท้อง หรือมีลูกเล็ก อย่าทิ้งเขาเลยค่ะ ถ้าคุณคิดว่าเขาเป็นลูกจริงๆ ลองมองกลับกันคุณจะรู้สึกดีไหมถ้าหากคุณยกลูกคนโตคุณให้คนอื่นเลี้ยง เพราะคุณมีลูกอีกคน เขาอยู่กับคนอื่นได้ก็จริงค่ะ แต่เขาไม่ได้มีความสุขมากเท่าอยู่กับคุณ
เด็กก็เหมือนกระจกของพ่อแม่ พ่อแม่ทำแบบไหน ลูกก็จะทำแบบนั้น จะเป็นตามในสิ่งที่เราเป็น เราทำ เพราะเขาจดจำการกระทำของพ่อแม่นะคะ
และท้ายสุดที่อยากจะบอก คนรักเราอาจจะมีมากมายหลายคนได้ แต่คนที่เรารักในครอบครัวมันไม่ได้มีเยอะนะคะ เลี้ยงเขาเถอะ เขาสามารถเป็นพี่ เพื่อน ครู ให้เราโดยที่เราไม่ต้องบอกหรือสอนให้ลูกเราทำเลยค่ะ แล้วลูกของคุณจะรู้จักรักคนอื่นเป็นค่ะ ขอบคุณนะคะที่อ่านจนจบค่ะ พี่ก๊วยกับน้องหมั่นโถว
เชื่อว่าเรื่องราวของคุณ Chirarat Ratthanakij คงเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคน กล้าที่จะเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวกับลูกๆหลานๆมากขึ้นนะครับ อย่างไรก็ตามปรึกษาคุณหมอที่ดูแลก่อนเพื่อความปลอดภัย เพราะว่าสุขภาพของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ
ที่มา : Chirarat Ratthanakij