Dogs

เรื่องราวของหญิงสาวที่รับเลี้ยงสุนัขไร้บ้าน แต่เปรียบดั่งการได้รับพรจากพระเจ้า

“ ในฐานะเด็กและผู้ใหญ่แบบฉัน  ฉันกลัวสุนัขและแมว แต่ก็ไม่มีปัญหาในการหยิบงูมาคล้องคอหรือจับกบที่พบในสวนหลังบ้าน พ่อของฉันแพ้ทุกสิ่งที่มีขนดก ดังนั้นเราจึงเลี้ยงเต่า ในขณะที่ฉันยังคงมีความรักที่ดีสำหรับเต่าและหวังว่าจะได้เลี้ยงเต่าอีกครั้ง  แม้ว่าพวกมันไม่ได้เป็นสัตว์ที่น่ากอดก็ตาม

เมื่อฉันแต่งงานกับสามี (อดีต) จริง ๆ แล้วอยากได้สุนัข  เราเพิ่งซื้อบ้านและสิ่งที่เราต้องการก็คือสุนัขและเด็ก ๆ ที่จะทำให้ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลานั้น  ฉันคิดว่าฉันคงจะโอเคกับสุนัขตัวเล็ก ๆ ที่จะไม่รบกวนเพื่อนบ้าน

ดังนั้นวันหนึ่ง  ขณะที่ฉันอยู่ที่ทำงาน  แฟนเก่าของฉันไปที่สมาคมมิลวอกี้และส่งข้อความถึงฉันว่า  เขาพบสุนัขที่สมบูรณ์แบบสำหรับเราและถามว่าเขาจะพามันกลับบ้านได้ทันทีหรือไม่ แน่นอนว่าเมื่อฉันอยู่ที่ทำงานฉันพูดว่า ‘ไม่..  ฉันต้องเจอมันก่อน’ จากนั้นเขาก็งัดไม้เด็ดออกมา และเล่นกับความรู้สึกของฉัน เขาบอกฉันว่า  มันเคยอยู่ในที่พักพิงนานหลายสัปดาห์ (จริง) และมันก็จะไม่รอดแน่  เว้นเสียแต่ว่าเราจะรับเลี้ยงเธอในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ (โกหก) ทำให้เธอตัดสินใจพามันกลับบ้านในสัปดาห์นั้นทันที โดยมันได้รับการตั้งชื่อว่า  พีนัท

พีนัทเป็นชิวาวาอายุหกขวบผสมเทอร์เรีย มันเป็นสุนัขที่อ่อนโยนและสุภาพที่สุดเท่าที่เคยเจอมา มันกลัวหลายอย่างและชอบซ่อนตัวใต้โซฟา  เตียง  คอมพิวเตอร์  เก้าอี้  ซึ่งเป็นจุดซ่อนตัวที่ดี เราใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการอุ้มมันไปตามท้องถนนเพื่อที่มันจะเดินกลับด้วยตัวเอง ในที่สุดมันก็เข้ากับพวกเราสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ได้ มันนอนกอดเราทั้งบนเตียงและก็เวลาอยู่บนโซฟาเลยล่ะ

เมื่อตอนที่ฉันผ่านการผ่าตัดสมองสองครั้ง พีนัทรักและดูแลฉันตลอดเวลา ไม่กี่ปีต่อมา  พีนัทก็ทำให้ฉันผ่านการหย่าร้างที่เจ็บปวดกับสามีได้ มีการศึกษาหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า  สัตว์เลี้ยงมีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพจิต พีนัทรู้ดีว่าต้องทำอะไรเสมอ

ประมาณหกเดือนหลังจากพีนัทและฉันย้ายกลับไปที่มิลวอกี้  พีนัทก็ป่วย แม่ของฉันอยู่ที่บ้านเพื่ออยู่กับพีนัท  เมื่อฉันต้องไปทำงาน เราไม่ต้องการให้พีนัทอยู่ตามลำพัง ภายในประมาณสองสัปดาห์  พีนัทก็จากไปในอ้อมแขนของฉัน แม้ว่าในวันนั้นฉันจะรู้ว่าพีนัทของฉันได้จากฉันไปแล้ว แต่ฉันก็รู้สึกเสียใจราวกับว่าหัวใจของฉันถูกฉีกออกไป ในคืนนั้นฉันไม่ได้นอนมากนักและตื่นเช้ามาก ฉันมีความรู้สึกเช่นนี้ว่า  พีนัทกำลังบอกฉันว่า  ฉันจำเป็นต้องไปที่พักพิงและช่วยลูกสุนัขอีกตัวหนึ่ง ฉันวิ่งเข้ามาและปลุกแม่ของฉันและบอกเธอถึงความรู้สึกที่จริงจังของฉันที่เราต้องไปที่พักพิงในวันนั้น

เราไปที่ศูนย์อย่างเต็มที่คาดหวังว่าจะได้กลับบ้านมือเปล่า เราไปเยี่ยมสุนัขสองตัว สุนัขตัวหนึ่งดูเหมือนจะสนใจลูกบอลของเขามากกว่าฉัน อีกตัวหนึ่งชื่อ “เลดี้” แต่มันตัวเล็กมาก เราได้พูดคุยกับที่ปรึกษาเกี่ยวกับข้อกังวลของเราเขาแนะนำให้เราไปเยี่ยมเลดี้อีกครั้ง เลดี้แอบมาหาฉันเหมือนเมื่อก่อน นั่นเป็นข้อตกลงที่แน่นอนแล้วว่า เลดี้กำลังจะกลับบ้านในวันนั้น

เราใช้เวลาสักครู่เพื่อคิดให้ออกว่า  ทำไมที่พักพิงถึงตั้งชื่อว่า  เลดี้  จนกระทั่งทุกครั้งที่ฉันอุ้มมัน  มันจะค่อยๆ ก้าวขาไปอย่างช้า ๆ มันจะนอนโดยให้อุ้งเท้าของมันยื่นออกมาข้างหน้า  เลดี้เหมือนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ชื่อนี้ไม่ได้ตั้งใจจะเรียก ฉันใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์เพื่อตั้งชื่อมันใหม่ว่า รูบี โรส เคิร์ชเนอร์

รูบีได้ทำมากกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เธอช่วยชีวิตฉันไว้ด้วย การปวดไมเกรนรายวันที่ยากจะรักษาได้และเป็นมานานเวลาสามปี

เมื่อคุณย่าของฉันที่มีอายุ 91 ปีป่วยหนักและมาอยู่กับเรา ซึ่งคุณย่ารักรูบีมาก เราจะเอาผ้าห่มอุ่น ๆ ไว้บนตักของย่าและจับรูบีวางไว้กับคุณย่า คุณย่าจะเลี้ยงมันและบอกเราว่า ‘ช่างเป็นอะไรที่เยี่ยมยอดมาก!’ คุณย่าเข้า-ออกโรงพยาบาลบ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คุณย่าอยู่ในโรงพยาบาล (และครั้งเดียวที่ฉันซ่อนรูบี) ฉันถามย่าว่า  คุณย่าอยากจะเลี้ยงรูบีหรือไม่ ฉันกำลังจะให้มันนอนกับย่า ย่าอายุ 91 ปี พยาบาลที่น่ารักอนุญาตให้คุณย่าออกจากโรงพยาบาลเพียงไม่กี่นาที เพื่อให้ได้เจอกับรูบี ทันทีที่ฉันวางรูบีไว้บนเตียง  ฉันวางมือของย่าไว้กับมัน ทันใดนั้นอัตราการเต้นของหัวใจของย่าที่ลดลงการหายใจของย่าดีขึ้นและความอิ่มตัวของออกซิเจนเพิ่มขึ้น

ฉันเชื่อว่าสุนัข (และสัตว์เลี้ยงทั่วไป) เป็นปาฏิหาริย์จากพระเจ้า ฉันคิดว่าเขา / เธอดูแลสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับคุณอย่างที่สุด ฉันมีความสุขมากที่มีพีนัทและรูบีในชีวิตของฉัน สัตว์เลี้ยงของคุณมีผลต่อชีวิตของคุณอย่างไร”

ที่มา : lovewhatmatters